วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

โรฮิงญามหันตภัยแห่งมนุษย์ไร้อนาคต


     เคยเห็นบุคคลลักษณะคล้ายแขกผิวดำปานกลาง ร่างกายสันทัด แต่งตัวขะมุกขะมอม หลับนอนริมสถานที่สาธารณะ หรือเดินท่อมอยู่ตามเมือง รับจ้างในสิ่งที่คนไทยทั่วไปไม่ทำกัน
เราอาจจะเข้าใจว่า พวกเขา คือ แรงงานต่างด้าว หรือพวกหลบหนีเข้าเมืองธรรมดา ไม่คิดไกลไปว่า พวกนี้กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศชาติ ไม่ใช่แค่ภาระสังคม แต่เป็นความเป็นความตายที่เกี่ยวโยงกับการก่อเหตุร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย  
เพิ่งกลับมาจากการเยี่ยมพื้นที่ตากและพิษณุโลกพบว่า ฝ่ายความมั่นคงที่นั่นกำลังให้ความวิตกต่อการลักลอบเข้าเมืองของชาวโรฮิงญา 
ซึ่งเป็นพม่าประเภทหนึ่งโดยเรียกขาน (ไม่ได้สัญชาติพม่าเสียด้วยซ้ำ) แต่เป็นมุสลิมโดยศาสนา และเป็นอะไรก็ได้ตามแล้วแต่จะมีใครใช้ให้เป็น ประการหลังนี้น่าเป็นห่วงมาก  
นโยบายแบ่งแยกและปกครองของฝรั่งเจ้าอาณานิคมสร้างความแตกแยกให้แก่ชนท้องถิ่นภายใต้อาณัติของตนมานานแล้ว และตกทอดมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะแขกมุสลิมจากเบงกอลฟากตะวันออกนั้น เข้ามาแย่งพื้นที่และทรัพยากรของพม่ายะไข่ คนท้องถิ่นก็เกลียดชัง รัฐบาลพม่าทุกวันนี้ก็กดขี่ชนิดทำกันอย่างไม่ใช่คน 
แต่การที่ปรากฏกระบวนการชักนำชาวโรฮิงญาให้เข้าสู่ไทยอย่างเป็นระบบเมื่อไม่นานมานี้และเกิดขบวนการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้พวกเขาอยู่ในไทยอย่างถาวร จับได้ถึงความเกี่ยวข้องกับมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ที่กำลังลุกเป็นไฟอยู่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา  

กล่าวได้ว่าชาวโรฮิงญา คือพม่าหน้าแขก ที่มีเชื้อสายบังกลา มีถิ่นฐานอยู่ไกลถึงแคว้นยะไข่ที่ติดกับบังกลาเทศ ปกติดินแดนแถบนี้ก็แปลกแยกจากพม่าอยู่แล้ว ชาวมุสลิม 5 แสนคนที่นั่นยิ่งแปลกแยกจากชาวยะไข่ทั่วไปที่นับถือพุทธอีกด้วย โดยพวกเขามีชาติพันธุ์และหน้าตาเดียวกับแขกเบงกอลเพราะถูกอังกฤษลากให้เข้ามาอาศัยอยู่ในพม่า นับตั้งแต่ที่อังกฤษผนวกพม่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดินิยมอินเดียเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และกลายเป็นลูกไล่ของแคว้นเบงกอลในห้วงเวลานั้น  
แต่ไหนแต่ไรผู้นำพม่านั้นเป็นพวกเกลียดชังชนเชื้อสายอื่นและศาสนาอื่น ความคิดแบบโบราณนี้มีส่วนทำให้ความสงบในดินแดนที่เต็มไปด้วยคนหลากชาติพันธุ์นั้นไม่เกิดขึ้น คนไร้รากแบบโรฮิงญานั้นเป็นที่ถูกเกลียดอย่างที่สุด จึงต้องโดนกดขี่ขนาดหนัก ไม่มีสัญชาติ ไม่มีการศึกษา ไม่มีงาน ไม่มีอนามัย ไม่มีทรัพย์สิน โดนกระทืบทำร้ายและถูกเกณฑ์แรงงานเป็นประจำ บีบกันชนิดถ้าไม่อยากตายก็ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ จึงมีโรฮิงญาเหลือในพม่าราวล้านคน แต่อพยพไปอยู่ในประเทศมุสลิมเอเชียอื่นราว 3 ล้าน 
โรฮิงญาหลบหนีเข้าไทยมานานแล้ว โดยปะปนกับแรงงานต่างด้าวอื่นๆ ชนิดดูหน้าก็นึกว่า ชาวปากีสถาน หรือบังกลาเทศ เดิมทีก็ไม่น่าอันตรายด้านความมั่นคงของสังคมมากไปกว่าแรงงานต่างด้าวกลุ่มอื่นที่ท่วมประเทศอยู่ในเวลานี้ เดินกันเต็มเมือง ชอนไชลึกซึ้งเข้าไปอยู่ถึงบ้านช่องห้องหอผู้ดีมีสกุล  
การจับกุมและผลักดันกลับชาวโรฮิงญาแค่พันเศษในปีนี้เทียบไม่ได้เลยกับโรฮิงญาอีกราว 2 หมื่นที่อยู่ในประเทศไทยซึ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตัว โดยส่วนหนึ่งมีการติดต่อกับกลุ่มมุสลิมเคร่งจารีต ชักพาลงไปทำอะไรลึกลับบริเวญรอยต่อชายแดนไทย-มาเลเซีย 
สัปดาห์หน้าจะกล่าวถึงโรฮิงญากับกระบวนการที่ซับซ้อนและน่าสะพรึงกลัวกันต่ออย่าลืมแวะอ่าน www.oknation.net/blog/ruarob <http://www.oknation.net/blog/ruarob> ด้วยนะครับ     



–>เคยเห็นบุคคลลักษณะคล้ายแขกผิวดำปานกลาง ร่างกายสันทัด แต่งตัวขะมุกขะมอม หลับนอนริมสถานที่สาธารณะ หรือเดินท่อมอยู่ตามเมือง รับจ้างในสิ่งที่คนไทยทั่วไปไม่ทำกัน
เราอาจจะเข้าใจว่า พวกเขา คือ แรงงานต่างด้าว หรือพวกหลบหนีเข้าเมืองธรรมดา ไม่คิดไกลไปว่า พวกนี้กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศชาติ ไม่ใช่แค่ภาระสังคม แต่เป็นความเป็นความตายที่เกี่ยวโยงกับการก่อเหตุร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย 
เพิ่งกลับมาจากการเยี่ยมพื้นที่ตากและพิษณุโลกพบว่า ฝ่ายความมั่นคงที่นั่นกำลังให้ความวิตกต่อการลักลอบเข้าเมืองของชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นพม่าประเภทหนึ่งโดยเรียกขาน (ไม่ได้สัญชาติพม่าเสียด้วยซ้ำ) แต่เป็นมุสลิมโดยศาสนา และเป็นอะไรก็ได้ตามแล้วแต่จะมีใครใช้ให้เป็น ประการหลังนี้น่าเป็นห่วงมาก  กล่าวได้ว่าชาวโรฮิงญา คือพม่าหน้าแขก ที่มีเชื้อสายบังกลา มีถิ่นฐานอยู่ไกลถึงแคว้นยะไข่ที่ติดกับบังกลาเทศ ปกติดินแดนแถบนี้ก็แปลกแยกจากพม่าอยู่แล้ว ชาวมุสลิม 5 แสนคนที่นั่นยิ่งแปลกแยกจากชาวยะไข่ทั่วไปที่นับถือพุทธอีกด้วย โดยพวกเขามีชาติพันธุ์และหน้าตาเดียวกับแขกเบงกอลเพราะถูกอังกฤษลากให้เข้ามาอาศัยอยู่ในพม่า นับตั้งแต่ที่อังกฤษผนวกพม่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดินิยมอินเดียเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และกลายเป็นลูกไล่ของแคว้นเบงกอลในห้วงเวลานั้น 

นโยบายแบ่งแยกและปกครองของฝรั่งเจ้าอาณานิคมสร้างความแตกแยกให้แก่ชนท้องถิ่นภายใต้อาณัติของตนมานานแล้ว และตกทอดมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะแขกมุสลิมจากเบงกอลฟากตะวันออกนั้น เข้ามาแย่งพื้นที่และทรัพยากรของพม่ายะไข่ คนท้องถิ่นก็เกลียดชัง รัฐบาลพม่าทุกวันนี้ก็กดขี่ชนิดทำกันอย่างไม่ใช่คน แต่ไหนแต่ไรผู้นำพม่านั้นเป็นพวกเกลียดชังชนเชื้อสายอื่นและศาสนาอื่น ความคิดแบบโบราณนี้มีส่วนทำให้ความสงบในดินแดนที่เต็มไปด้วยคนหลากชาติพันธุ์นั้นไม่เกิดขึ้น คนไร้รากแบบโรฮิงญานั้นเป็นที่ถูกเกลียดอย่างที่สุด จึงต้องโดนกดขี่ขนาดหนัก ไม่มีสัญชาติ ไม่มีการศึกษา ไม่มีงาน ไม่มีอนามัย ไม่มีทรัพย์สิน โดนกระทืบทำร้ายและถูกเกณฑ์แรงงานเป็นประจำ บีบกันชนิดถ้าไม่อยากตายก็ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ จึงมีโรฮิงญาเหลือในพม่าราวล้านคน แต่อพยพไปอยู่ในประเทศมุสลิมเอเชียอื่นราว 3 ล้าน

โรฮิงญาหลบหนีเข้าไทยมานานแล้ว โดยปะปนกับแรงงานต่างด้าวอื่นๆ ชนิดดูหน้าก็นึกว่า ชาวปากีสถาน หรือบังกลาเทศ เดิมทีก็ไม่น่าอันตรายด้านความมั่นคงของสังคมมากไปกว่าแรงงานต่างด้าวกลุ่มอื่นที่ท่วมประเทศอยู่ในเวลานี้ เดินกันเต็มเมือง ชอนไชลึกซึ้งเข้าไปอยู่ถึงบ้านช่องห้องหอผู้ดีมีสกุล 
แต่การที่ปรากฏกระบวนการชักนำชาวโรฮิงญาให้เข้าสู่ไทยอย่างเป็นระบบเมื่อไม่นานมานี้และเกิดขบวนการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้พวกเขาอยู่ในไทยอย่างถาวร จับได้ถึงความเกี่ยวข้องกับมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ที่กำลังลุกเป็นไฟอยู่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา  การจับกุมและผลักดันกลับชาวโรฮิงญาแค่พันเศษในปีนี้เทียบไม่ได้เลยกับโรฮิงญาอีกราว 2 หมื่นที่อยู่ในประเทศไทยซึ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตัว โดยส่วนหนึ่งมีการติดต่อกับกลุ่มมุสลิมเคร่งจารีต ชักพาลงไปทำอะไรลึกลับบริเวญรอยต่อชายแดนไทย-มาเลเซีย
 สัปดาห์หน้าจะกล่าวถึงโรฮิงญากับกระบวนการที่ซับซ้อนและน่าสะพรึงกลัวกันต่ออย่าลืมแวะอ่าน www.oknation.net/blog/ruarob <http://www.oknation.net/blog/ruarob> ด้วยนะครับ    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น